Google

ปี 2561 นี้ ถือเป็นเวลาทีหลายเทคโนโลยีที่เฝ้าพัฒนาฟูมฟักกันมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นระบบสมองกลหรือ AI, การประมวลผลภาษาให้เป็นธรรมชาติ, หรือแม้แต่ระบบประมวลผลจากภาพ เป็นต้น

นับเป็นสื่อออนไลน์ยักษ์ใหญ่รายที่สองถัดจากเฟซบุ๊ก ที่ออกมาประกาศตัดขาดการสนับสนุนใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับแวดวงคริปโต รวมทั้ง ICO โดยกูเกิ้ลกล่าวว่าโฆษณาใดๆ ทีเกี่ยวข้องกับวอลเล็ทคริปโต, ตลาดแลกเปลี่ยนคริปโต, หรือบริการการค้าที่ใช้เงินคริปโตใดๆ จะไม่สามารถลงโปรโมทผ่าน Google Adwords ได้อีก

ถือว่าเหล่าแฮ็กเกอร์อินเทรนด์อย่างรวดเร็ว เมื่อพบการใช้ช่องโหว่บนเซิร์ฟเวอร์ Memcached ในทางชั่วร้ายของจริงหลังจากที่มีนักวิจัยออกมาแฉช่องโหว่นี้ต่อสาธารณะแค่แวบเดียว โดยเหยื่อผู้โชคร้ายรายแรกได้แก่ Github ที่โดนระเบิดรีเควสรุมตู้มลูกใหญ่ที่สุดในโลกที่เคยมีมาด้วยปริมาณข้อมูลยัดเยียดมากถึง 1.7Tbps

Google ออกมาเปิดเผยรายละเอียดแก่สาธารณะเกี่ยวกับช่องโหว่บน Microsoft Edge ที่ผู้โจมตีสามารถหลบหลีกฟีเจอร์ความปลอดภัยอย่าง Arbitrary Code Guard (ACG) ได้ ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ที่นำมาใช้ตั้งแต่เมษายนปีที่ผ่านมาพร้อมกับตัวอัพเดต Windows 10 Creators

เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยจาก Cisco Talos ได้ร่วมมือกับตำรวยไซเบอร์จากยูเครน เผยถึงการติดตามขบวนการอาชญากรไซเบอร์ชื่อ Coinhoarder ที่ขโมยเงินบิตคอยน์ได้มูลค่ากว่าหลายล้านโดยใช้ประโยชน์จากการโฆษณาลิงค์อันตรายของตนเองผ่าน Google AdWords

นักวิจัยค้นพบส่วนต่อขยายหรือ Extension จำนวน 4 รายการในเว็บสโตร์ทางการของ Google Chrome ที่มีจำนวนผู้ใช้โหลดไปใช้งานรวมกันทั้งสิ้นกว่า 500,000 ครั้ง ซึ่งพบว่ามีพฤติกรรมเป็นอันตรายอย่างรุนแรงต่อผู้ใช้ทั้งระดับครัวเรือนและองค์กร

ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไอทีจาก Lookout พบแอพวอลเล็ตสำหรับเงินบิตคอยน์ “ปลอม” จำนวน 3 แอพบน Play Store ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อขโมยข้อมูลเกี่ยวกับบิตคอยน์ของผู้ใช้ โดยหลอกให้โอนเงินบิตคอยน์ไปยังที่อยู่บิตคอยน์ของอาชญากร ซึ่งนักวิจัยเรียกแอพลักษณะนี้ว่า PickBitPocket

ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์นั้นยืดหยุ่นมาก โดยเฉพาะในการเปิดให้คุณควบคุมการอนุญาตการเข้าถึงของแต่ละแอพได้อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงกล้อง, ตำแหน่งที่ตั้ง, รายชื่อผู้ติดต่อ เป็นต้น

พบพฤติกรรมใหม่ของแฮ็กเกอร์ผู้มีทุนทรัพย์ ที่ลงทุนโฆษณาผ่าน Google Adwords เพื่อแสดงเว็บไซต์ของตนเองขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของการค้นหา โดยที่ทางกูเกิ้ลไม่ได้สแกนข้อความหรือลิงก์อันตรายดังกล่าวก่อนขึ้นโฆษณาให้เลย โดยเฉพาะโฆษณาที่ขึ้นข้อความว่า “Download Google Chrome”

สันนิษฐานว่ากูเกิ้ลไม่ได้คอยปรับเปลี่ยนเส้นทางใหม่แบบเรียลไทม์หลังจากที่คำนวณเลือกเส้นทางให้ผู้ใช้ไปแล้ว หรือแม้แต่เหตุผลที่กูเกิ้ลเลือกเส้นทางที่ต้องจ่ายค่าผ่านทางเยอะกว่าเดิมว่าเป็นเพราะการทางพิเศษของรัฐมีเอี่ยวกับกูเกิ้ลได้หรือไม่